บทความ

ลูกควรแยกห้องนอนตอนอายุเท่าไหร่ดี และข้อดีของการแยกห้องนอนคืออะไร

บทความจาก https://www.sansanook.com/knowledge/ลูกควรแยกห้องนอนตอนอาย/

ลูกเริ่มโตขึ้นทุกวันแต่ยังไม่ยอมแยกห้องนอนกับพ่อแม่เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่หลายๆครอบครัวตั้งคำถามว่า ควรฝึกให้ลูกนอนคนเดียวและแยกห้องนอนได้เมื่อลูกอายุเท่าไรดีนะ ควรบอกลูกอย่างไรเมื่อถึงเวลาต้องแยกกันนอนได้  มาลองอ่านบทความของแสนสนุกแล้วนำไปปรับใช้กันดูนะคะ
.
.
ลูกควรแยกห้องนอนกับพ่อแม่เมื่อไหร่ดีนะ?
.
.
“ลูก” เป็นคำที่เมื่อพูดออกมาแล้วให้ความรู้สึกถึงความผูกพัน ความรักที่ลึกซึ้งของคนสามคนคือ พ่อ แม่และลูก อีกสิ่งหนึ่งที่แสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดได้อย่างชัดเจนคือ ลูกเราตั้งแต่แรกเกิดเป็นทารกตัวน้อยน่ารักเขาได้รับสิทธิพิเศษเหนือใคร ๆ คือ ได้นอนในห้องเดียวกันและเตียงเดียวกันกับคุณพ่อคุณแม่ หรืออย่างน้อยก็มีที่นอนของลูกอยู่ในห้องนอนของพ่อแม่และนอนด้วยกันทุกคืน เด็กบางคนนอนกับพ่อแม่ถึงอายุ 3-4 ปีก็มี (เคยพบว่าเด็กบางคนยังนอนในห้องของพ่อแม่จนอายุ 10 ปีก็มี ไม่ยอมแยกไปนอนคนเดียว เพราะรู้สึกว้าเหว่ หรือไม่กล้านอนคนเดียว)
เคยมีคนตั้งคำถามว่า จะแยกลูกให้หัดนอนคนเดียว แยกที่นอน แยกห้องนอนได้ตั้งแต่ลูกอายุเท่าไรถึงจะดี ควรบอกลูกอย่างไรกับการให้ลูกแยกห้องนอนไปที่ห้องของลูกที่พ่อแม่ตั้งใจจัดไว้ให้ โดยที่ลูกไปนอนที่ห้องของลูกอย่างมีความสุขและมีความเป็นอิสระมีความเป็นส่วนตัวในห้องของลูก
การแยกลูกให้นอนคนเดียวควรค่อย ๆ ฝึกอย่างอ่อนโยนเป็นธรรมชาติไม่หักหาญให้ลูกตกใจว่าเขาจะต้องนอนโดดเดี่ยวในห้องใหม่ เพราะโดยธรรมชาติเด็กเล็ก ๆ เขามีเรื่องของจินตนาการต่าง ๆ ในใจที่ทำให้หวั่นกลัวสารพัดอย่าง เช่น
กลัวห้องแคบ ๆ
กลัวความมืด
กลัวการอยู่คนเดียว
กลัวการโดนพราก
ยิ่งถ้าเป็นเด็กที่พ่อแม่ให้นอนบนที่นอนเดียวกันมาตั้งแต่เกิดไม่เคยแยกที่นอนเลยจนโตถึงอายุ 2-3 ขวบ หนูน้อยมักจะไม่ยอมแยกห้องนอนกับพ่อแม่ ถึงแม้พ่อแม่อธิบายให้ลูกฟังแล้วว่า ลูกควรฝึกนอนคนเดียวได้แล้วเพราะหนูโตแล้วเด็กก็ทำท่าเหมือนเข้าใจ แต่พอถึงเวลาเข้านอนหนูน้อยกลับอ้อนขอนอนด้วยไม่ยอมไปนอนคนเดียว ถ้าพ่อแม่ทนความน่ารักขี้อ้อนของลูกไม่ไหวชัยชนะในคืนนั้นก็ต้องตกเป็นของลูกรักอย่างแน่นอน
เด็กควรแยกห้องนอนกับพ่อแม่ตั้งแต่อายุเข้า 3-4 ขวบ แต่ความจริงก่อนจะแยกห้องนอนพ่อแม่ควรฝึกให้ลูกเริ่มจากการแยกที่นอนกับพ่อแม่ก่อน เช่น
จัดที่นอนให้ลูกไว้ต่างหากด้านใดด้านหนึ่งของห้องนอน ไม่ให้ลูกนอนบนที่นอนเดียวกันกับพ่อแม่ (ตั้งแต่อายุ 4-6 เดือนขึ้นไป) หรือเมื่อลูกอายุเข้า 1-2 ปี พ่อแม่ควรพาลูกไปนอนตรงที่นอนของเขาเมื่อถึงเวลาเข้านอนทุกคืน โดยที่พ่อแม่อาจอยู่เป็นเพื่อนลูกด้วยการเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกฟังเพื่อเด็กจะได้รู้สึกอบอุ่นสบายใจนอนหลับสนิท การฝึกลูกให้นอนตรงที่นอนของตัวเองตั้งแต่ยังเล็กเป็นการฝึกให้เขารู้สึกคุ้นชินกับการนอนคนเดียว เมื่อถึงเวลาแยกห้องนอนลูกจะได้ไม่ตกใจหรือรู้สึกกลัวกับการต้องตอนคนเดียวในห้องส่วนตัวของเขา
การจัดห้องนอนให้ลูกสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก ๆ คือ ความปลอดภัยของลูก เช่น ถ้าห้องมีหน้าต่างมีระเบียงพ่อแม่ควรใส่กลอนหรือเครื่องป้องกันไม่ให้ลูกปีนหน้าต่างแล้วพลัดตกหน้าต่าง, ปลั๊กไฟที่เป็นเต้าเสียบสายไฟควรติดตั้งให้สูงกว่ามือเด็กเพื่อป้องกันไฟดูด, ตู้ลิ้นชัก เตียง โต๊ะต่าง ๆ ควรมีความปลอดภัยเหมาะสำหรับเด็กใช้งาน, ห้องโปร่งสบายอากาศถ่ายเทได้สะดวก เป็นต้น
ห้องนอนของลูกเป็นห้องที่อยู่ติดกับห้องนอนของพ่อแม่และมีประตูเชื่อมต่อถึงกันได้ ควรติดตั้งไฟสลัวไว้ให้ลูกด้วย (เด็กบางคนกลัวความมืด ใช้ไฟสลัวเปิดไว้ก่อนตอนที่ลูกยังไม่หลับสนิทลูกจะได้อุ่นใจนอนหลับสบาย) บอกให้ลูกรู้ว่า ลูกสามารถเปิดประตูทางเชื่อมเข้ามาหาพ่อแม่ได้เสมอพ่อแม่อยู่ห้องติดกันกับลูกนะไม่ต้องกลัว
.
.
การฝึกลูกให้นอนคนเดียวโดยการแยกห้องนอนกับพ่อแม่นั้น เป็นการฝึกให้เด็กได้รู้จักการมีพื้นที่ส่วนตัว มีอิสระและรู้จักการดูแลตัวเองดูแลสิ่งของ ๆ ตนเองต่อไป
เทคนิคทำให้ลูกรู้สึกดีและมีความสุขกับการมีห้องส่วนตัวของตัวเองด้วยการให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการตกแต่งห้องนอนของเขา เช่น ได้เลือกสีห้องที่ลูกชอบ ชุดเครื่องนอน เตียง ตู้ โต๊ะต่าง ๆ และของเล่นตุ๊กตาที่ลูกชอบรวมถึงมุมพิเศษที่ลูกอยากมีตามจินตนาการของลูก เป็นต้น

ลูกเริ่มโตขึ้นทุกวันแต่ยังไม่ยอมแยกห้องนอนกับพ่อแม่เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่หลายๆครอบครัวตั้งคำถามว่า ควรฝึกให้ลูกนอนคนเดียวและแยกห้องนอนได้เมื่อลูกอายุเท่าไรดีนะ ควรบอกลูกอย่างไรเมื่อถึงเวลาต้องแยกกันนอนได้  มาลองอ่านบทความของแสนสนุกแล้วนำไปปรับใช้กันดูนะคะ
.
.
ลูกควรแยกห้องนอนกับพ่อแม่เมื่อไหร่ดีนะ?
.
.
“ลูก” เป็นคำที่เมื่อพูดออกมาแล้วให้ความรู้สึกถึงความผูกพัน ความรักที่ลึกซึ้งของคนสามคนคือ พ่อ แม่และลูก อีกสิ่งหนึ่งที่แสดงออกถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดได้อย่างชัดเจนคือ ลูกเราตั้งแต่แรกเกิดเป็นทารกตัวน้อยน่ารักเขาได้รับสิทธิพิเศษเหนือใคร ๆ คือ ได้นอนในห้องเดียวกันและเตียงเดียวกันกับคุณพ่อคุณแม่ หรืออย่างน้อยก็มีที่นอนของลูกอยู่ในห้องนอนของพ่อแม่และนอนด้วยกันทุกคืน เด็กบางคนนอนกับพ่อแม่ถึงอายุ 3-4 ปีก็มี (เคยพบว่าเด็กบางคนยังนอนในห้องของพ่อแม่จนอายุ 10 ปีก็มี ไม่ยอมแยกไปนอนคนเดียว เพราะรู้สึกว้าเหว่ หรือไม่กล้านอนคนเดียว)
เคยมีคนตั้งคำถามว่า จะแยกลูกให้หัดนอนคนเดียว แยกที่นอน แยกห้องนอนได้ตั้งแต่ลูกอายุเท่าไรถึงจะดี ควรบอกลูกอย่างไรกับการให้ลูกแยกห้องนอนไปที่ห้องของลูกที่พ่อแม่ตั้งใจจัดไว้ให้ โดยที่ลูกไปนอนที่ห้องของลูกอย่างมีความสุขและมีความเป็นอิสระมีความเป็นส่วนตัวในห้องของลูก
การแยกลูกให้นอนคนเดียวควรค่อย ๆ ฝึกอย่างอ่อนโยนเป็นธรรมชาติไม่หักหาญให้ลูกตกใจว่าเขาจะต้องนอนโดดเดี่ยวในห้องใหม่ เพราะโดยธรรมชาติเด็กเล็ก ๆ เขามีเรื่องของจินตนาการต่าง ๆ ในใจที่ทำให้หวั่นกลัวสารพัดอย่าง เช่น
กลัวห้องแคบ ๆ
กลัวความมืด
กลัวการอยู่คนเดียว
กลัวการโดนพราก
ยิ่งถ้าเป็นเด็กที่พ่อแม่ให้นอนบนที่นอนเดียวกันมาตั้งแต่เกิดไม่เคยแยกที่นอนเลยจนโตถึงอายุ 2-3 ขวบ หนูน้อยมักจะไม่ยอมแยกห้องนอนกับพ่อแม่ ถึงแม้พ่อแม่อธิบายให้ลูกฟังแล้วว่า ลูกควรฝึกนอนคนเดียวได้แล้วเพราะหนูโตแล้วเด็กก็ทำท่าเหมือนเข้าใจ แต่พอถึงเวลาเข้านอนหนูน้อยกลับอ้อนขอนอนด้วยไม่ยอมไปนอนคนเดียว ถ้าพ่อแม่ทนความน่ารักขี้อ้อนของลูกไม่ไหวชัยชนะในคืนนั้นก็ต้องตกเป็นของลูกรักอย่างแน่นอน
เด็กควรแยกห้องนอนกับพ่อแม่ตั้งแต่อายุเข้า 3-4 ขวบ แต่ความจริงก่อนจะแยกห้องนอนพ่อแม่ควรฝึกให้ลูกเริ่มจากการแยกที่นอนกับพ่อแม่ก่อน เช่น
จัดที่นอนให้ลูกไว้ต่างหากด้านใดด้านหนึ่งของห้องนอน ไม่ให้ลูกนอนบนที่นอนเดียวกันกับพ่อแม่ (ตั้งแต่อายุ 4-6 เดือนขึ้นไป) หรือเมื่อลูกอายุเข้า 1-2 ปี พ่อแม่ควรพาลูกไปนอนตรงที่นอนของเขาเมื่อถึงเวลาเข้านอนทุกคืน โดยที่พ่อแม่อาจอยู่เป็นเพื่อนลูกด้วยการเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกฟังเพื่อเด็กจะได้รู้สึกอบอุ่นสบายใจนอนหลับสนิท การฝึกลูกให้นอนตรงที่นอนของตัวเองตั้งแต่ยังเล็กเป็นการฝึกให้เขารู้สึกคุ้นชินกับการนอนคนเดียว เมื่อถึงเวลาแยกห้องนอนลูกจะได้ไม่ตกใจหรือรู้สึกกลัวกับการต้องตอนคนเดียวในห้องส่วนตัวของเขา
การจัดห้องนอนให้ลูกสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก ๆ คือ ความปลอดภัยของลูก เช่น ถ้าห้องมีหน้าต่างมีระเบียงพ่อแม่ควรใส่กลอนหรือเครื่องป้องกันไม่ให้ลูกปีนหน้าต่างแล้วพลัดตกหน้าต่าง, ปลั๊กไฟที่เป็นเต้าเสียบสายไฟควรติดตั้งให้สูงกว่ามือเด็กเพื่อป้องกันไฟดูด, ตู้ลิ้นชัก เตียง โต๊ะต่าง ๆ ควรมีความปลอดภัยเหมาะสำหรับเด็กใช้งาน, ห้องโปร่งสบายอากาศถ่ายเทได้สะดวก เป็นต้น
ห้องนอนของลูกเป็นห้องที่อยู่ติดกับห้องนอนของพ่อแม่และมีประตูเชื่อมต่อถึงกันได้ ควรติดตั้งไฟสลัวไว้ให้ลูกด้วย (เด็กบางคนกลัวความมืด ใช้ไฟสลัวเปิดไว้ก่อนตอนที่ลูกยังไม่หลับสนิทลูกจะได้อุ่นใจนอนหลับสบาย) บอกให้ลูกรู้ว่า ลูกสามารถเปิดประตูทางเชื่อมเข้ามาหาพ่อแม่ได้เสมอพ่อแม่อยู่ห้องติดกันกับลูกนะไม่ต้องกลัว
.
.
การฝึกลูกให้นอนคนเดียวโดยการแยกห้องนอนกับพ่อแม่นั้น เป็นการฝึกให้เด็กได้รู้จักการมีพื้นที่ส่วนตัว มีอิสระและรู้จักการดูแลตัวเองดูแลสิ่งของ ๆ ตนเองต่อไป
เทคนิคทำให้ลูกรู้สึกดีและมีความสุขกับการมีห้องส่วนตัวของตัวเองด้วยการให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการตกแต่งห้องนอนของเขา เช่น ได้เลือกสีห้องที่ลูกชอบ ชุดเครื่องนอน เตียง ตู้ โต๊ะต่าง ๆ และของเล่นตุ๊กตาที่ลูกชอบรวมถึงมุมพิเศษที่ลูกอยากมีตามจินตนาการของลูก เป็นต้น